เตา อั้งโล่ โบราณ
ทำไมถึงต้องรู้จัก? BottomLiner ที่มาบทความ:
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่นักลงทุนจับตาประเด็นความตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครน แต่นอกเหนือจากนั้นยัง มีอีกประเด็นที่นักลงทุนกังวลกันมาสักระยะหนึ่งนั่นคือ "Inverted Yield Curve" หรืออัตราผลตอบแทน พันธบัตรอายุ 2 ปีให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีหรือ 2-10 spread มีค่าติด ลบ) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ใช้เตือนว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล. )
ทิสโก้มองเป็นเพียงสัญญาณเตือนให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนเท่านั้น และอยากให้นักลงทุนพิจารณาควบคู่ไปกับส่วนต่าง US Bond Yield คู่ของอายุ 10 ปี – 3 เดือน ซึ่งปัจจุบันยังเป็นบวกกว่า 180 bps ดังนั้น นักลงทุนยังไม่ต้องตื่นตระหนกกับการเกิด Inverted Yield Curve ในบางคู่ จนรีบเทขายหุ้นทิ้งทั้งหมด บล. ทิสโก้แนะนำเพียงแค่ติดตามพัฒนาการของสถานการณ์การลงทุนให้ใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิม และ/หรือ อาจขายปรับพอร์ต-ถือเงินสดเพิ่มขึ้นบางส่วนในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเท่านั้น จากมุมมองข้างต้น บล. ทิสโก้ยังคงกลยุทธ์ "Selective Buy" สำหรับการลงทุนในเดือนเมษายนมีประเด็นหุ้นที่น่าสนใจ คือ 1. หุ้นที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำ PTTEP, PTTGC / BBL 2. หุ้นเปิดเมืองรับการผ่อนคลายต่างชาติเข้าประเทศง่ายขึ้นและการเตรียมปรับ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่นแนะนำ MINT และ 3. หุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เด่น AP, BCH, SPVI เพราะฉะนั้นหุ้นเด่นที่บล. ทิสโก้แนะนำในเดือนเมษายน คือ AP, BBL, BCH, MINT, PTTEP, PTTGC และ SPVI ด้านแนวรับสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1, 660 – 1, 670 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1, 640 จุด และ 1, 620 จุด ตามลำดับ และแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1, 700 – 1, 705 จุด และแนวต้านต่อไปคือ 1, 720 – 1, 730 จุด และ 1750 จุด ตามลำดับ ที่มา: ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
Benchmark คืออะไร? วิธีเปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนรวมว่าดีหรือไม่ดี กองทุนประเภทนี้ ต้องใช้ Benchmark แบบไหน บ่อยครั้งที่นักลงทุนมือใหม่มักจะสับสนว่ากองทุนที่เราซื้อนั้นดีหรือไม่ดีกันแน่ จะรู้ได้ยังไงว่าผลตอบแทนที่ได้รับเหมาะสมหรือเปล่า?
แบบปกติ ( Normal yield curve or Upward sloping yield curve) มีลักษณะเป็นเส้นลาดชันขึ้นจากซ้ายไปขวา คือ Yield ของพันธบัตรที่มีอายุคงเหลือสั้นจะต่ำกว่า Yield ของพันธบัตรที่มีอายุคงเหลือยาว แสดงให้เห็นว่า ผู้ลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เราจึงเรียกว่าเส้นอัตราผลตอบแทนแบบนี้ว่า แบบปกติ 2. แบบลาดลง ( Inverted yield curve or Downward sloping yield curve) มีลักษณะตรงข้ามกับแบบปกติ คือ เป็นเส้นกราฟลาดลงจากซ้ายไปขวา พันธบัตรที่มีอายุคงเหลือยาวจะมีอัตราผลตอบแทนต่ำกว่าพันธบัตรที่มีอายุสั้น ซึ่ง Yield curve ลักษณะนี้จะพบเมื่อตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มลดลง 3. แบบหลังเขา ( Humped yield curve) เส้นจะลาดชันขึ้นจากซ้ายไปขวาและวกต่ำลงเมื่ออายุคงเหลือของตราสารหนี้เพิ่มขึ้น 4. แบบแบนราบ ( Flatted yield curve) เป็นลักษณะของอัตราผลตอบแทนที่เท่ากันทุกช่วงอายุของตราสารหนี้ แหล่งข้อมูล สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ( ThaiBMA)
ทิสโก้ ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ BAY, BBL, KBANK, KKP, KTB, SCB และ TTB คาดว่าไตรมาส 1/2565 จะมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 4. 89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11. 4% YoY และเพิ่มขึ้น 21. 7% QoQ การเติบโต YoY หลักๆ มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อ และการตั้งสำรองฯ (ต้นทุนเครดิต) ที่คาดจะลดลงจากการกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่การเติบโตของกำไร QoQ มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และต้นทุนเครดิตที่ลดลง บล.
34% หรือ (1/22) x 100 = 4. 34% ข้อมูลอ้างอิงจาก: Finnomena, GreedisGoods Read more articles บทความเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน ธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ ในโลกที่ทุกคนต่างลงทุน
Bull Flattening Yield Curve (Yield ตัวยาวลงลึกกว่าตัวสั้น) ในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดีไปแล้ว แน่นอนย่อมมี Noise ให้ตกใจ ทำให้มีเงินไหลเข้า Safe Haven เช่นขายหุ้นเข้า Bond แต่รอบใหญ่ของรูปแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มแรกของการเข้าสู่ Cycle ลดดอกเบี้ย เราจะเห็นคนกำไรจาก Bonds กันหลัก 10% ง่าย ๆ ในขณะที่หุ้นถล่มทลาย หรือมีการทำ QE 2. Bull Steepening Yield Curve (Yield ตัวสั้นลงลึกกว่าตัวยาว) ส่วนมากจะเกิดจากการเก็งว่าจะมีการลดดอกเบี้ย ซึ่งโดยมากก็จะ Shift ทั้ง Curve แต่ในบางครั้งตัวยาวก็จะลงมาช้ากว่า ก็จะมีเหตุผลของมันในแต่ละครั้ง (เช่นเพิ่งผ่านแบบที่ 1 มา) 3. Bear Steepening Yield Curve (Yield ตัวยาวเพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวสั้น) รูปแบบนี้มักเกิดในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่ดอกเบี้ยขาขึ้นอีกครั้ง หลังจากการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ เมื่อตลาดมั่นใจกับเศรษฐกิจมากขึ้นก็จะเริ่มขาย Bond ออก (Yield ดีดขึ้น) และนำเงินไปลงทุนอย่างอื่น หรือ Fund Flow ไหลออก แต่สิ่งสำคัญคือหากดอกเบี้ยกลับเป็นขาขึ้นอย่างแรงและเร็ว จะขาดทุนหนัก กรณีมียกเลิก QE ร่วมด้วย แต่ดอกเบี้ยตรึงต่ำ ก็จะชันเป็นพิเศษ เช่นช่วงที่ทำ QE ที่ผ่านมา และจะทำให้เกิดแบบสุดท้าย (Bear Flattening) ในเวลาถัดมา 4.