เตา อั้งโล่ โบราณ
ยองเกอร์ สตรีท (Jonker Street) ถนนสายวัฒนธรรม ที่สุดแห่งเมืองมะละกา ถนนยองเกอร์สตรีทเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวมาเลเซีย ถึงแม้ว่าถนนยองเกอร์สตรีทจะเป็นถนนเส้นเล็กๆ แต่กลับอัดแน่นไปด้วยความสวยงามของอาคารบ้านเรือนสไตล์ชิโนโปรตุกีสสีสันสวยงามที่เราสามารถเดินถ่ายรูป ดื่มด่ำบรรยากาศชิลๆ ได้อย่างไม่รู้เบื่อ ที่นี่ยังถูกเนรมิตเป็นถนนคนเดินในช่วงเย็นของทุกวันศุกร์ – อาทิตย์ ให้เราได้เดินชม ชิม ช้อป อาหารและสินค้าพื้นเมืองได้อย่างเพลิดเพลินด้วย 4.
1511-1641 ตามด้วยดัชท์ในปีค. 1641-1795 และอังกฤษในปีค. 1795-1941 ก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้าครอบครองในระยะเวลาอันสั้นช่วงระยะเวลาระหว่างปี ค. 1941-1945 และอังกฤษได้กลับเข้ามาครอบครองอีกครั้งในปีค. 1945-1957 จนกระทั่งมาเลเซียได้ประกาศอิสรภาพในปีค. 1957 จนถึงปัจจุบัน เค้าของการถูกล่าปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วตามพื้นที่ประวัติศาสตร์ของเมือง ณ จตุรัสแดง ถนน Laksamana สิ่งก่อสร้างที่รายล้อมแสดงถึงสถาปัตยกรรมของชนชาติตะวันตก ที่นี่เคยเป็นแหล่งชุมชนดัชท์เมื่อราวศตวรรษที่ 16-17 อาคารสถานที่ล้วนเป็นสีแดงอิฐขานรับกับชื่อจตุรัส ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์คริสต์ หอนาฬิกา พิพิธภัณฑ์เยาวชน และอาคารสตัดธิวท์ (Stadthuys) ซึ่งเป็นศาลาว่าการ ประวัติของสถานที่ขานไขอย่างย่นยอบนแผ่นป้าย โบสถ์คริสต์ ดูจะเป็นจุดสนใจดึงดูดให้เข้าไปเยี่ยมชมเป็นจุดแรก โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปีค. 1753 โดยนำอิฐสีชมพูจากเนเธอร์แลนด์มาก่อสร้างและเชื่อมด้วยดินสีแดงของที่นี่ อาคารสตัดธิวท์ ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อสร้างขึ้นในปีค. 1650 สำหรับเป็นที่พักของผู้ว่าการ และคณะเจ้าหน้าที่ชาวดัชท์ เชื่อกันว่าอาคารนี้เป็นอาคารของชาวดัชท์ที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนตะวันออก ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองและผู้คน มะละกา มาเลเซีย บริเวณใจกลางจตุรัสเป็น ลานน้ำพุ สร้างขึ้นในปีค.
Dutch Square (ดัตช์สแตวร์) ถ้าไม่รู้จะไปเริ่มตรงไหน ให้เรียกแท็กซี่ไปที่จุดศูนย์กลางของเมือง ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น Melaka 0 mile บริเวณ Dutch Square เป็นบริเวณที่มีพื้นที่ที่สวยงามมาก ๆ และถ่ายรูปได้สวยจุดหนึ่งของเมือง ด้วยความที่สถาปัตยกรรมของพื้นที่บริเวณนี้ได้รับอิทธิพลจากชาวดัตช์ในช่วงปี ค. ศ.
- Advertisement - สวัสดีเพื่อน ๆ ชาวเที่ยวตามใจคุณนะครับ วันนี้ผมจะขอนำเพื่อน ๆ ติดล้อรถบัสไปกับผม ไปเที่ยวเมือง มะละกา เมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และเป็นเมืองที่ผมอยากจะชวนให้มาเที่ยวกัน ถ้าหากมีโอกาสมาเที่ยวมาเลเซีย วิธีเดินทางไปยังเมือง มะละกา การเดินทางไปเมือง มะละกา เนื่องจากพวกเราทำงานที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เราจึงเดินทางจากสถานี Terminal Bersepadu Selatan (TBS) ที่เมือง Kuala Lumpurไปยัง Malacca Sentral โดยรถบัส ช่วงที่เราจะไปเที่ยวเป็นช่วงหยุดยาว เราจึงได้วางแผนจองตั๋วรถบัสล่วงหน้าผ่านทาง Bus OnlIne Ticket คลิก! ซึ่งถือว่าสะดวกมาก เนื่องจากเราไม่ต้องไปต่อแถวยาวที่สถานีเพื่อซื้อตั๋ว ช่วยประหยัดเวลาไปได้อีก โดยสนนราคาไปกลับอยู่ที่ 28 ริงกิต เมื่อถึงสถานี เจอกับเพื่อนๆเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปต่อแถวเพื่อแลกตั๋วรถบัส สามารถเข้าช่องเขียวได้เลย ไม่มีคนจ้า โดยเราสามารถโชว์ตั๋วผ่านทางมือถือให้เจ้าหน้าที่ได้เลย ไม่จำเป็นต้องปริ้นท์ตั๋วมาให้เปลืองเวลา เปลืองกระดาษ เมื่อถึงเวลา เราก็จะต้องเดินผ่านเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจตั๋ว และไปรอที่ Gate ตามที่ตั๋วกำหนดไว้ รถบัสวันนี้ออกตรงเวลา สิ่งแรกที่เราพูดกับเพื่อนคือ "แกร๊ ที่นั่งมันสบายอะ" ความกว้างของที่นั่งและพื้นที่วางขามีพอเหมาะสำหรับคนสูง 175 ซม.
เมืองมะละกา: มาเลเซีย ความเป็นมาของเมืองมะละกาเริ่มขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมื่อเจ้าชายปรเมศวรแห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ได้เสด็จลี้ภัยมายังบริเวณมะละกา และได้สร้างเมืองขึ้นจนเริ่มมีบทบาทเป็นเมืองท่าที่สำคัญของเรือจากมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติกกระทั่งในช่วง ค. ศ. 1511 โปรตุเกสก็ได้เข้ายึดครองมะละกา ก่อนที่จะตกเป็นของดัตช์ใน ค. 1795 และในปี ค. 1824 มะละกาก็ได้ตกเป็นส่วนหนึ่งของนิคมช่องแคบ(The Straits Settlement) ของอังกฤษก่อนจะรวมอยู่ในสหภาพมลายา(Malaya Union) จนเมื่อมาเลเซียประกาศเอกราช เมืองมะละกาจึงเป็นดินแดนภายใต้อธิปไตยของมาเลเซีย แผนที่แสดงเมือง มะละกา จากการที่ผ่านการปกครองมาจากชาติตะวันตกหลายชาติ จึงทำให้ภายในเมืองมะละกามีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะโปรตุเกส ดัตช์ จีนและมาเลย์ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมีดังนี้ 1. โบสถ์เซนต์ปอล สร้างขึ้นในต้นคริสต์วรรษที่ 1520 บนเนินมะละกาโดยกัปตันเรือชาวโปรตุเกส ชื่อ ดูอาร์ตึ กูเอโลญ์ (Duarte Coelho) เดิมเป็นโบสถ์คาทอลิกชื่อ นอซ์ซา เซนโญรา (Nossa Senhora) หมายถึงสุภาพสตรีบนเนินเขาก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นโบสถ์โปรเตสแตนท์ชื่อ เซนต์ปอล ภายใต้อาณานิคมดัตช์ ปัจจุบัหลังคาเซนต์ปอลได้พังทลายหมด ด้านหน้ามีประภาคารที่สร้างขึ้นโดยอังกฤษ และมีรูปปั้น เซนต์ฟรังซีส ซาเวียร์ (St. Francis Xavier) ผู้เผยแผ่ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รูปปั้น เซนต์ฟรังซีส ซาเวียร์ (St. Francis Xavier) 2.
นั่นเป็นเพราะที่นี่เป็นสถานที่ประกาศเอกราชจากการยึดครองของชาวต่างชาติ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค. ศ.
1650 สร้างไว้สำหรับผู้ว่าการรัฐชาวดัชต์ สถาปัตยกรรมเป็นแบบดัตช์ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ชนชาติวิทยา ปิดวันจันทร์ครับ ค่าเข้าเพียง 5 ริงกิต แต่มีสิ่งน่าสนใจให้ชมมากมาย Church (โบสต์คริสต์) ส่วนโบสต์คริสต์ สร้างในปี ค. 1753 สถาปัตยกรรมเป็นแบบดัตช์ ที่นี่เข้าชมฟรี มีซุ่มขายภาพเขียนและของที่ระลึกขายอยู่ใกล้ๆกันด้วย Street ซึ่งเป็นแหล่งรวมทุกสิ่งอย่างของมะละกา หลายคนบอกว่า ไป Jonker Street ให้ไปทั้งเช้า และกลางคืน เพราะบรรยากาศและของขายจะต่างกันซึ่งการเดินเที่ยวที่ Jonger Street จะมีขนม และน้ำหวาน มีร้านเสื้อผ้า รองเท้าแตะ และของฝากขายตลอดทางราคาไม่แพง Square ซึ่งถือว่าเป็น Landmarkของมะละกา จัดเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่สามล้อดอกไม้จะมาประชันเรียกลูกค้ากันหนาแน่น Paul Church โบสถ์นี้เค้าว่ามีประวัติย้อนหลังไปถึงปี ค. 1521 เลย ทีเดียว และต่อมาเมื่ออังกฤษเข้ามาครองมะละกา โบสถ์แห่งนี้ก็ถูกละเลย และใช้เป็นที่เก็บดินระเบิด โบสถ์นี้สร้างขึ้น โดยชาวโปรตุเกส แต่ถูกพวกดัตช์เปลี่ยนมาเป็นสถานที่ฝังศพของบุคคลสําคัญผู้กล้าหาญข้างหน้ามีรูปนักบุญ เซนต์ ฟรานซิส ซาเวียร์ Fort ป้อม ฟาโมซา เป็นป้อมที่พวกโปรตุเกสสร้างเพื่อต้านการบุกรุกของดัทซ์ 7.