เตา อั้งโล่ โบราณ
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่อาจรู้กันอยู่แล้วว่า การดื่มเบียร์มากๆ ทำให้เกิดภาวะอ้วนลงพุงได้ แต่หลายคนก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริงๆ โดยเฉพาะในคนที่มีเพื่อนฝูงมาก เรามีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับวิธีดื่มเบียร์ไม่ให้อ้วนลงพุงมาฝากกัน ดังนี้ 1. ดื่มให้น้อยลง ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิเสธการดื่มเบียร์ในงานปาร์ตี้ได้ วิธีคือ ลดการดื่มลง มีการศึกษาทางการแพทย์ว่า การดื่มแอลกอฮอลล์ปริมาณเล็กน้อยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน ต่างจากการดื่มแอลกอฮอลล์ปริมาณมากซึ่งพบว่า มีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกินอย่างมีนัยยะสำคัญ 2. ดื่มน้ำเปล่าอย่าให้ขาด เทคนิคง่ายๆ คือ ดื่มเบียร์มากเท่าไร ให้ดื่มน้ำเปล่าตามเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ดื่มเบียร์ 1 กระป๋อง ก็ให้ดื่มน้ำในปริมาณเท่าเบียร์ 1 กระป๋อง หรือมากกว่า เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ และช่วยให้ตับทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นในการขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย นอกจากนี้ร่างกายที่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวันจะช่วยให้มีผิวพรรณชุ่มชื้น ขับถ่ายสะดวก และช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ดี 3. ใช้วิธีนับแคลอรี่ ในข้างต้นนั้น เราได้ระบุว่าเบียร์ 1 กระป๋องให้พลังงาน 148 กิโลแคลอรี่ ถ้าหากรู้ตัวล่วงหน้าว่า จะต้องดื่มเบียร์ในวันนั้นก็ให้ลดจำนวน แคลลอรี่ จากอาหารชนิดอื่นๆ ลง (วิธีนี้เหมาะสำหรับการใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้น) 4.
รศ. ดร.
เบียร์ ทำให้อ้วนจริงไหม อย่างไร? ทำไมกินเบียร์เยอะๆ แล้วถึงอ้วนลงพุง? หากอยากกินเบียร์ แต่ไม่อยากอ้วนลงพุงต้องทำอย่างไร?
รับประทานอาหารตามสัดส่วนแบบง่ายๆ 2. รับประทานอาหาร คือ ผัก - แป้ง - โปรตีน หรือ 2 - 1 - 1 เทคนิคในการเลือกรับประทานอาหารป้องกันโรคอ้วนลงพุง 1. ลดปริมาณข้าวให้น้อยกว่าปกติ 2. เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ปลา หมูไม่ติดมัน ไก่ไม่ติดหนัง เต้าหู้ 3. เมนูอาหารที่ไม่ใช่ทอด หรือกะทิ 4. เพิ่มผักเยอะๆ อิ่มด้วยผัก 5. ไข่สามารถรับประทานได้ เปลี่ยนเป็นไข่ต้ม หลีกเลี่ยงไข่ดาว หรือ ไข่เจียว 6. ดื่มน้ำเปล่า หลีกเลี่ยงน้ำหวาน หรือน้ำอัดลม หลักการรับประทานอาหาร เพื่อป้องกันและลดไขมันในเลือด 1. หลักการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป ไข่แดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล (กุ้ง, หอย, ปู, ปลาหมึก) หลีกเลี่ยงอาหารและขนมที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ หลีกเลี่ยงการรับประทานเนย มาการีน ชีส ครีม รวมถึงเค้ก คุกกี้ เบเกอรี่ ไอศกรีม หลีกเลี่ยงการรับประทานขนมหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ประกอบอาหารด้วยการต้ม ตุ๋น นึ่ง ย่าง ผัดน้ำมันน้อยแทนการทอด 2. เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยให้มากขึ้น เช่น ข้าวซ้อมมือ ผัก ผลไม้น้ำตาลน้อย เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง ชมพู่ เป็นต้น 3.
จะต้องอ้วนชนิดลงพุง กล่าวคือมีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 เซนติเมตร และ 80 เซนติเมตร ในชายและหญิงตามลำดับ 2. มีความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มิลลิเมตรปรอท หรือได้รับยารักษาความดันโลหิต 3. มีระดับไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือเป็นผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน 4. มีระดับไขมันชนิดดีน้อยกว่า 40 และ 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับชายและหญิง หรือผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน 5.
การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยการลดอาหารประเภทไขมันลง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ที่ติดมัน หนังสัตว์ อาหารทะเลพวกกุ้งและปลาหมึก น้ำมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว โดยไม่ควรรับประทานอาหารพวกแป้งเกินร้อยละ 50 ของอาหารที่รับประทาน แต่ให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก พืชตระกูลถั่ว 2. ลดอาหารเค็ม ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความดันโลหิต 3. ลดน้ำหนัก พบว่าการลดน้ำหนักลงร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักตัว จะชะลอหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง 4. แนะนำให้ออกกำลังกายวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน ซึ่งจะช่วยลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน ในกรณีที่เป็นโรคเหล่านี้อยู่แล้วการออกกำลังกายจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น 5. ปรับเปลี่ยนอาหาร การปรับเปลี่ยนอาหารที่มีส่วนช่วยลดไขมันช่องท้อง ได้แก่ 1. เปลี่ยน "ข้าวขาว-แป้งขาว-น้ำตาล" เป็นธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังเติมรำ(โฮลวีท) ฯลฯ, ลดเครื่องดื่มเติมน้ำตาล เช่น ชาเขียวรสหวาน-กาแฟเย็น ฯลฯ 2. กินโปรตีน (ถั่ว เต้าหู้ โปรตีนเกษตร งา ไข่ เนื้อ นม) ที่ไม่ผ่านการทอด ลดเนื้อสำเร็จรูป ลดเนื้อติดมัน ลดอาหารทอด 3.