เตา อั้งโล่ โบราณ
เจตนาธรรมดา คือ ผู้กระทำต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด และผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลหรือประสงค์ต่อผล 2.
การกระทำความผิดด้วยความจำเป็น 2. การกระทำความผิดเพราะความบกพร่องทางจิต 3. การกระทำความผิดเพราะความมึนเมา 4. การกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน 5. สามีภริยากระทำความผิดต่อกันในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์บางฐาน 6. เด็กอายุไม่เกิน 14 ปีกระทำความผิด 7.
เจตนาธรรมดา คือ ผู้กระทำต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด และผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลหรือประสงค์ต่อผล 2. เจตนาพิเศษ: โดยทุจริต คือ เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น หากผู้กระทำไม่มีเจตนาที่จะทุจริตที่จะเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนแล้ว แม้ครบองค์ประกอบภายนอกของมาตรา 334 ก็ไม่ทำให้ผู้กระทำมีความผิด 1, 063
ส่วนควบต้องเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์ใหม่นั้น เช่น เลนต์แว่นตา ก. โดยสภาพแห่งทรัพย์ เช่น เข็มนาฬิกาย่อมเป้นสาระสำคัญของนาฬิกา ข. โดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น เช่น บ้านโดยจารีณประเพณีย่อมเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของที่ดิน 2. ส่วนควบต้องมีสภาพไม่อาจแยกออกจากกันได้ นอกจากจะทำลาย ทำบุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนรูปทรง หรือ สภาพไป ข้อยกเว้นในเรื่องส่วนควบ ที่กฎหมายมีข้อยกเว้นไม่ให้เป็นส่วนควบ 1. ไม้ล้มลุก และธัญชาติ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และ พาณิชย์ มาตรา 145 [1] เช่น พืชผักสวนครัว ถั่วลิสง ข้าวโพด 2. ทรัพย์ที่ติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพืยงชั่วคราว ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และ พาณิชย์ มาตรา 146 [2] เช่น สิ่งปลูกสร้างที่ที่ติดอยู่กับอาคารเพื่อแสดงต่างๆ 3.
ลักษณะสำคัญของกฎหมายอาญา 2. 1 เป็นกฎหมายที่กำหนดเป็นความผิดชัดแจ้ง ในขณะกระทำความผิดต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้แล้วอย่างชัดแจ้งว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด เจ้าหน้าที่ผู้ใช้กฎหมายจะสร้างกฎหมายใหม่ขึ้นมาใช้บังคับแก่ประชาชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะไม่ได้ เช่น กฎหมายบัญญัติว่า " การลักทรัพย์เป็นความผิด " ดังนั้น ผู้ใดลักทรัพย์ก็ย่อมมีความผิดเช่นเดียวกัน 2. 2 เป็นกฎหมายที่ไม่มีผลย้อนหลัง เป็นโทษไม่ได้แต่เป็นคุณได้ ถ้าหากในขณะที่มีการกระทำสิ่งใดยังไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด แม้ต่อมาภายหลังจะมีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำอย่างเดียวกันนั้นเป็นความผิด ก็จะนำกฎหมายใหม่ใช้กับผู้กระทำผิดคนแรกไม่ได้ 3. โทษทางอาญา 1) ประหารชีวิต คือ นำตัวไปยิงด้วยปืนให้ตาย 2) จำคุก คือ นำตัวไปขังไว้ที่เรือนจำ 3) กักขัง คือนำตัวไปขังไว้ ณ ที่อื่น ที่ไม่ใช่เรือนจำ เช่น นำไปขังไว้ที่สถานีตำรวจ 4) ปรับ คือ นำค่าปรับซึ่งเป็นเงินไปชำระให้แก่เจ้าพนักงาน 5) ริบทรัพย์สิน คือ ริบเอาทรัพย์สินนั้นเป็นของหลวง เช่น ปืนเถื่อน ให้ริบ ฯลฯ 4. บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาและได้รับโทษทางอาญาเมื่อใด บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาต่อเมื่อ 4. 1 กระทำโดยเจตนา คือ การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น 4.
3 เยาวชนอายุเกิน 14 ปี แต่ไม่เกิน 17 ปีกระทำความผิด ผู้ที่อายุกว่า 14 ปีแต่ไม่เกิน 17 ปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ให้ศาลพิจารณาถึงความรู้ผิดชอบและสิ่งอื่นทั้งปวงเกี่ยวกับผู้นั้นในอันควรวินิจฉัยว่าสมควรพิพากษาลงโทษผู้นั้นหรือไม่ศาลอาจใช้วิธีการตามข้อ 6. 2 หรือลงโทษเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ โดยลดมาตราส่วนโทษที่จะใช้กับเยาวชนนั้นลงกึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการลงโทษเยาวชนผู้กระทำความผิด 6.
กฎหมายอาญา 1. กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันสังคมให้เกิดความสงบเรียบร้อย โดยกำหนดว่าการกระทำใดเป็นความผิดอาญาและกำหนดโทษของผู้ฝ่าฝืน 2. ลักษณะที่สำคัญของกฎหมายอาญา คือเป็นกฎหมายที่กำหนดเป็นความผิดชัดแจ้งและไม่มีผลบังคับย้อนหลังที่เป็นโทษแก่ผู้กระทำความผิด 3. โทษทางอาญามี 5 ชนิด คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับและริบทรัพย์สิน 4. การกระทำความผิดทางอาญามีบางกรณีที่กฎหมายยกเว้นโทษและยกเว้นความผิด 5.
ปล้นทรัพย์ คือการชิงทรัพย์ "โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป" • ถ้าคนหนึ่งเป็นเพียงผู้สนับสนุน และมีผู้ร่วมกันชิงทรัพย์อีก 2 คน ไม่เป็นปล้นทรัพย์ • ถ้ามีผู้ร่วมกระทำผิดครบ 3 คนแล้ว ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก จะเป็นผู้สนับสนุนความผิดฐานปล้นทรัพย์ เป็นความผิดที่ต่อเนื่องมาจากความผิดฐานชิงทรัพย์ ถ้าไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แม้มีผู้กระทำความผิดครบ 3 คน ก็ไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ (แต่อาจเป็นความผิดฐานอื่น เช่น ร่วมกันลักทรัพย์) (มาตรา 340 แห่งประมวลกฎหมายอาญา) 7. ฉ้อโกง คือการ "หลอกลวง" ผู้อื่นด้วยการ แสดงข้อความเท็จ หรือ ปกปิดข้อความจริง เพื่อ.. (1) ให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจาก ผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สาม หรือ (2) ทำให้ผู้ถูกหลอกลวง หรือ บุคคลที่สาม "ทำ ถอน หรือ ทำลาย" เอกสารสิทธิ • ถ้าข้อความที่แสดงออกไป "ไม่เป็นเท็จ แต่ผู้กล่าวเข้าใจว่าเป็นเท็จ" ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง (และไม่เป็นพยายามฉ้อโกง) • ผู้ถูกหลอกลวง "ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์" แม้ทรัพย์นั้นเป็นของผู้หลอกลวงเอง ก็เป็นความผิดฐานฉ้อโกงได้ (มาตรา 341 แห่งประมวลกฎหมายอาญา) 8.