เตา อั้งโล่ โบราณ
ซื้อ eBook - US$3. 58 0 บทวิจารณ์ เขียนบทวิจารณ์ โดย กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ข้อกำหนด ของ การให้บริการ จัดพิมพ์โดย Matichon Public Company Limited.
4 ในวิชาที่อาจารย์โหดที่สุดและแทบไม่เคยให้เกรด 4 แก่นักเรียนคนใดในประวัติศาสตร์การสอน) (จริงๆ ชีวะก็ต้องใช้ความพยายามของสมองอยู่ดี แต่ก็พอรับได้อยู่ ดีกว่าไปทำงานช่างบ้าอะไรก็ไม่รู้) สมัยนั้นจริงๆ ก็มีวิศวะคอมพ์แล้ว แต่ผมก็รู้สึกว่าภาพมันคือวิศวะที่ไม่ถนัดอยู่ดี เลยไม่เอา…อีกอย่าง ก็พอรู้ว่าคุณพ่อก็มองว่าการเรียนหมอจะเป็นประโยชน์กับครอบครัวในภายภาคหน้าแหละ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยบังคับหรือส่งสัญญาณกดดันให้เลือกเลยครับ ผมตัดสินใจด้วยตัวเองโดยได้ปรึกษาและได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่มากกว่า และแล้ว วันหนึ่งในช่วงต้นเดือน พ. ค. 2540 ซองประกาศผลเอ็นทรานซ์ก็มาถึงที่ธุรการที่ทำงานคุณแม่ (ใช่ครับน้องๆ สมัยนั้นยังไม่มีการประกาศผลออนไลน์ครับ…) เมื่อเรารู้ว่ามีซองมาถึง คุณแม่รีบขับรถพาผมไปที่ตู้จดหมาย ผมยังจำโมเม้นต์นั้นได้ดี พอหยิบซองจดหมายมาขึ้นรถ ระหว่างคุณแม่ขับรถ ผมก็แกะซองออก แล้วพบว่า ผมสอบเข้าได้แพทย์รามาฯ เมื่อเจอคุณพ่อที่ออฟฟิศ ก็บอกว่า "ป้าครับ สอบได้หมอรามาฯ ครับ" ท่ามกลางความดีใจของทุกคน ทีนี้ก็ต้องคิดหนักล่ะสิ… เพราะอย่าลืมว่า ตอนนั้นผมจบแค่ ม. 4 (ไม่ได้ติวเอ็นทรานซ์อีกต่างหาก) จะเอาความรู้อะไรไปเรียนปี 1 กับคนอื่นเขา เพราะใจจริงคือแค่จะลองข้อสอบเพื่อเทียบ ranking ตัวเองสำหรับการสอบเอาจริงตอนจบ ม.
5 จะได้ตั้งใจเอ็นทรานซ์จริงๆ เพื่อหนีระบบ Admissions ระบบใหม่ซะ ก็ไม่ได้เตรียมตัวสอบหรอก แค่มาลองข้อสอบ จะอ่านหนังสือไปทำไม ชิลๆ ฮะ ผมตัดสินใจสมัครสอบ Entrance โดยเลือกคณะ 4 อันดับ คือ 1. แพทย์จุฬาฯ 2. แพทย์รามาฯ 3. แพทย์ มอ. และ 4. วิทยาฯ จุฬาฯ เจตนาเลือกเพื่อเทียบ ranking ตัวเอง หวังผลในการประเมินตัวเองสำหรับการสอบรอบหน้าตอนจบ ม. 5 ชัดๆ หลังสอบเอ็นทรานซ์ เพื่อนสนิทที่โรงเรียนก็ชวนผมมาติวสอบ Entrance ต่อที่กรุงเทพฯ กะติวเตรียมไว้สำหรับตอนสอบเทียบตอนจบ ม. 5 (จริงๆ อันนี้ได้ติวหลังผมสอบ Entrance ครั้งแรกเพื่อลองข้อสอบแล้วหลายสัปดาห์ การติวเลยไม่ได้ช่วยการสอบ Entrance ของผมเลย แถมยังไม่อ่านเองอีกนะ #ช่างกล้า 555) ผมยังจำได้เลยว่า ตอนอยู่กรุงเทพฯ มีอยู่ตอนนึง นั่งรถ Taxi ไปเที่ยวกับเพื่อน แล้ว Taxi ขับผ่าน รพ. รามาธิบดี เพื่อนผมก็ชี้ให้ผมดูว่า "นรรนๆ นี่ไง อนาคตของนรรน" (สมัยนั้นผมยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่า ที่รถขับผ่านนั่นคือ รพ.
นวนรรน ย้ำว่า ทั้ง 7 เรื่องนี้ต้องค่อยๆ พัฒนา แต่ต้องทำทั้งหมดไปพร้อมกัน แต่ถ้าให้จัดลำดับความสำคัญแรกสุด คิดว่าอยากเห็นกลไกการนำและอภิบาลระบบเกิดขึ้นก่อน "ตรงนี้หมายถึงระบบสุขภาพทั้งระบบ ไม่ใช่แค่เรื่องไอที เรายังขาดกลไกที่มาบูรณาการและมีอำนาจสั่งการในเชิงนโยบายให้กับสถานพยาบาลซึ่งมีอยู่หลายสังกัดมาก อย่างเช่นเรื่องมาตรฐานข้อมูล ต่อให้กระทรวงสาธารณสุขสั่งการว่าจะเอาแบบนี้ แต่โรงพยาบาลสังกัดอื่นเขาไม่เอาด้วยก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นต้องเอาผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมานั่งคุยหาฉันทามติกัน หรือมีกลไกกลางที่สามารถสั่งการได้ เช่น มีบอร์ดใหญ่ด้าน eHealth ที่มีอำนาจสั่งการได้" นพ. นวนรรน กล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในภาพรวมระบบสุขภาพยังไม่มีกลไกการนำและอภิบาลระบบเลย การจะให้เกิดกลไกกลางในเรื่อง eHealth ด้วยคงไม่ใช่เรื่องง่ายในจังหวะนี้ "ดูแล้ว eHealth เป็นเรื่องอีกไกลมาก อีก 20-30 ปี แต่ผมคาดหวังว่าสักวันหนึ่งในอนาคต นักนโยบายที่ชาญฉลาดจะเริ่มเห็นประเด็นว่าเราต้องหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาทำ" นพ. นวนรรน กล่าวทิ้งท้าย สัมภาษณ์โดย: ภัทรภร นิภาพร
นวนรรน กล่าว ต้องมีกลไกการนำและอภิบาลระบบ นพ. นวนรรน กล่าวอีกว่า การจะสร้างให้เกิดระบบ HIE หรือ ATM in Healthcare ให้เกิดขึ้นได้จริง ต้องต่อจิ๊กซอว์ 7 ชิ้นไปในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะหากทำแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือก็จะไม่เกิดขึ้น "ใน eHealth มันมีองค์ประกอบที่สำคัญ 7 อย่าง คือ 1. กลไกการนำและอภิบาลระบบ (Leadership and Governance) 2. ยุทธศาสตร์และการลงทุน มีโรดแม็ป มีแผนลงทุนชัดเจนว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ 3. มีโครงสร้างพื้นฐาน คือโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบเซิร์ฟเวอร์ 4. มาตรฐานข้อมูล 5. แอปพลิเคชั่น 6. กฎหมายและนโยบาย เช่น เรื่องการรักษาความลับข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น และ 7. บุคคลากร ถามว่า 7 อย่างนี้ จะทำทุกอย่างโดยไม่มีบุคคลากรได้ไหม ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทำแค่เรื่องคนอย่างเดียวแต่ไม่มีทิศทางการนำ มันก็สะเปะสะปะ" นพ. นวนรรน กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้เรายังไม่ได้ทำจิ๊กซอว์หลายชิ้น เช่น มาตรฐานข้อมูลยังแทบไม่มี ตัวบุคคลากรก็ยังขาดแคลน กฎหมายก็ยังต้องปรับปรุงเพิ่ม เช่น ถ้ามีระบบ HIE แล้วในกรณีฉุกเฉินที่หมอไม่สามารถขออนุญาตคนไข้ได้ หมอจะมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลหรือไม่ เป็นต้น ส่วนจิ๊กซอว์ที่คิดว่าพอใช้ได้คือเรื่องโครงสร้างพื้นฐานกับแอปพลิเคชั่นที่มีแล้ว นพ.
นวนรรน กล่าว ถามว่าตอนนี้เมืองไทยมีมาตรฐานข้อมูลแบบนี้หรือไม่ คำตอบคือไม่มี แม้จะมีข้อมูล 43 แฟ้มของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งก็ถือเป็นมาตรฐานข้อมูลประเภทหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ครบถ้วนและยังมีการบ้านต้องทำอีกเยอะถ้าจะกำหนดมาตรฐานขึ้นมา "ปัญหาคือเรายังไม่ได้เริ่มเสียที เพราะทุกคนคิดแต่ว่าเมื่อไหร่เราจะใช้แอปฯ เดียวกัน แต่ผมคิดว่าตอนนี้ผู้ใหญ่เริ่มเข้าใจแล้วว่าใช้แอปฯ เดียวมันไม่ Work" นพ. นวนรรน กล่าว ทั้งนี้ เมื่อถามว่า eHealth ของไทยอยู่ในขั้นไหน นพ.
ต้น ก็จะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะอีก 1 ปี เราก็จบ ม. 3 ในระบบอยู่ดี) ดังนั้น พอจบ ม. 4 ผมและเพื่อนๆ อีก 2-3 คน ก็สอบเทียบวุฒิ ม. ได้ นั่นหมายความว่าเราสามารถสอบเอ็นทรานซ์ได้เลยตอน ม. 4 ในขณะที่เพื่อนๆ บางคน อยู่ระหว่างเรียน กศน. และอาจจะสอบเทียบและสอบเอ็นทรานซ์ได้ตอน ม. 5 และเพื่อนๆ ที่เหลือก็เรียนในระบบอย่างเดียว และต้องเอ็นทรานซ์ตอน ม. 6 จริงๆ ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องรีบร้อนสอบเอ็นทรานซ์อะไรหรอกนะครับ ก็ยังเป็นเด็ก ไม่ได้คิดว่าจะต้องรีบโตหรอก (แต่ก็แอบรู้สึกเบื่อระบบการเรียนในโรงเรียนไม่ได้) ประเด็นมันมีอยู่ว่า ตอนนั้นมันมีข่าว Admissions ระบบใหม่ ซึ่งรุ่นพวกผม เมื่อจบ ม. 6 จะเป็นรุ่นแรกที่ต้องใช้ระบบ Admissions ระบบใหม่ เป็นหนูทดลองว่างั้นเหอะ ตอนนั้นก็ได้ยินข่าวว่าเกณฑ์จะไม่ได้เอาคะแนนสอบอย่างเดียว แต่เอาเกรด GPA ม. ปลายมาคิดด้วย และต้องสอบโน่นนั่นนี่ ONET อะไรก็ไม่รู้ด้วย ไอ้ผมก็เป็นเนิร์ดจริงๆ วิชาที่เป็นวิชาการผมก็เรียนได้ดีมากอยู่แหละ แต่วิชาพวกพละ ศิลปะ และอื่นๆ ต่างหากที่ทำให้ผมกังวลว่าเกรด GPA ผมจะทำให้ผมเสียโอกาสบางอย่างใน Admissions ระบบใหม่ พอจบ ม. 4 ผมก็ตัดสินใจมาลองสอบเอ็นทรานซ์ดูเพื่อลองข้อสอบ เพราะก็มีวุฒิเข้าสอบได้แล้วนี่ ตอนจบ ม.