เตา อั้งโล่ โบราณ
พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ. ศ. ๒๕๐๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป. ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ. ๒๕๐๒ เป็นปีที่ ๑๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.
ตามประมวลกฎหมายอาญา ข้อหายักยอกทรัพย์ ประกันตัว เท่าไร หรือต้องหา เช่าหลักทรัพย์ประกัน ในคดีนี้กี่บาท หมวด 5 ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ป.
การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เป็นการกระทำนอกขอบเขตแห่งอำนาจหรือโดยปราศจากอำนาจ 2. การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นการฝ่าฝืนต่อวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง อันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการนั้น 3. การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย 4. การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ และคำพิพากษาฎีกาทีี 3509/2549 วินิจฉัยว่า การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องที่เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ จึงเกินล้ำออกนอกขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นที่ชัดแจ้งว่า "กรณีที่กระทำในตำแหน่งหน้าที่ แต่ได้กระทำเกินไปกว่ากฎหมายให้อำนาจไว้ หรือนอกเหนือขอบเขตแห่งอำนาจ ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งสิ้น คำพิพากษาฎีกาที่ 7663/2543 แม้ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฯ มาตรา 27บัญญัติให้เป็นอำนาจของประธานคณะกรรมการอัยการ (ก. )ที่จะเสนอก. ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งข้าราชการอัยการนอกจากตำแหน่งอัยการผู้ช่วยแต่จำเลยซึ่งเป็นอธิบดีกรมอัยการหรืออัยการสูงสุดในฐานะผู้บังคับบัญชาของข้าราชการอัยการทั่วประเทศในการใช้อำนาจบริหารงานบุคคลยังมีอำนาจเสนอตารางประวัติการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อประกอบการพิจารณาในการปฏิบัติหน้าที่ของประธาน ก.
มาตรา 157 นั้น แต่ถ้าหากศาลเห็นว่า ท่านไม่ได้กระทำความผิดหรือการกระทำของท่านไม่เป็นความผิดหรือมีเหตุตามกฎหมายที่ท่านไม่ควรต้องรับโทษ ศาลจะมีคำพิพากษายกฟ้องท่านต่อไป ตาม ป. วิ.
ขอบเขตและความหมายคำว่า "ปฏิบัติหน้าที่" ตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 บัญญัติว่า "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางดทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" ความผิดตามมาตรา 157 แบ่งได้ 2 ฐานคือ 1. ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด 2. ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทั้งสองฐานความผิดจะต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือ 1. เป็นเจ้าพนักงาน และ 2. ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ มีปัญหาว่าการกระทำในขอบเขตเพียงใดถือว่าเป็นการ "ปฏิบัติหน้าที่" ที่จะถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 157 โดยแนวคำพิพากษาศาลฎีกาวางบรรทัดฐานไว้ว่า "จะต้องเป็นกรณีที่ปฏิบัติในหน้าที่เท่านั้น ถึงจะมีความผิดตามมาตรา 157 หากเป็นการกระำทำนอกหน้าที่ไม่มีความผิดตามมาตรานี้ คำพิพากษาฎีกาที่ 3135/2535 ความผิดตาม ป. อ. มาตรา 157 จะต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติซึ่งอยู่ในหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้นเองโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริต ถ้าเป็นการกระทำนอกหน้าที่ไม่ผิดมาตรานี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นอันยุติได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวกับคดีที่คนร้ายลักกระบือของผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 กับการปล่อยคืนรถยนต์ให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายที่ 1 จึงเป็นเรื่องปฏิบัตินอกหน้าที่ ไม่เป็นความผิดตาม ป.
กำกับ แต่งเครื่องแบบตำรวจเท่านั้น แถมในคำบรรยายฎีกาของ นายกรุงเทพ ที่ทนายนั่นแหละทำให้ ยังยอมรับซะอีกว่า รตต. กำกับ ทำไปโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีอำนาจหน้าที่จะต้องทำ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการไปเอารถแทกซี ไม่ใช่การกระทำที่เกี่ยวกับหน้าที่ของ รตต. กำกับ ฟ้องข้อหาตามมาตรา 157 จึงไม่มีมูล ศาลล่างยกฟ้องถูกต้องแล้วละ ศาลฎีกาต้องพิพากษายืน โดยไม่รู้สึกเมื่อย ค่อยๆ ละเลียดอ่านช้าๆ แล้วจะเข้าใจถ่องแท้ ถ้าจะราวีใครด้วยมาตรา 157 ต้องเล็งให้เข้าองค์ประกอบ อย่าฟ้องส่งเดช เสียเวลาหากินเปล่าๆ จริงไหมพี่น้อง
ร. บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. ศ.
หรือ ป. ท. ก็ได้ ซึ่งในแง่มุมหนึ่ง ก็ถือได้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปที่เห็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริต หรือไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ใครก็แล้วแต่ ที่ฟ้อง ที่จะใช้สิทธิ์ในการได้รับความยุติธรรมเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันการเปิดโอกาสให้ประชาชนฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในความผิดตามมาตรา 157 ได้โดยตรงในระบบศาล ก็เหมือนกับการเปิดช่องให้มีการ "เล่นงาน" หรือ "เอาคืน" เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม หรือไม่จำเป็น แล้วความสมดุลของเรื่องนี้ ควรจะอยู่ที่ไหน? แน่นอนว่าเมื่อคดีขึ้นถึงศาล (หรือถึงองค์กรอิสระอย่างเช่น ป. ก็แล้วแต่) ศาลต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ในส่วนของสิทธิและ ผลประโยชน์ของประชาชนผู้ฟ้องนั้น ศาลก็ต้องคุ้มครอง เพราะเจ้าพนักงานหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจทางกฎหมาย หรือใช้อำนาจแทนรัฐ อาจจะละเมิดหรือใช้อำนาจที่ผิดหรือเกินเลยไปได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีบทลงโทษทางอาญาที่จำเพาะเจาะจงกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ศาลก็ต้องคุ้มครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย ไม่ให้ถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องโดยไม่เป็นธรรม วิธีที่ศาล (และป.
ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมย่อมส่งผลเสียหายร้ายแรงแก่รัฐและประชาชน โทษสำหรับการกระทำความผิดเหล่านี้ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายปัจจุบันยังมีอัตราต่ำกว่าควร สมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้สูงขึ้นและกำหนดโทษขั้นต่ำไว้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดดังกล่าวนี้ให้ได้ผลดียิ่งขึ้นต่อไป บรรณานุกรม [ แก้ไข] " พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ. 2502 ". (2502, 21 กรกฎาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 76, ตอน 73 ก. หน้า 242–249.
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบูรณ์ จำเลย - นายม่วง *หมายเหตุ: เพื่อเป็นการสงวนข้อมูลส่วนบุคคล เว็บไซต์ ใช้ระบบ AI ในการตรวจค้นชื่อบุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องในคดีและแปลงเป็นนามสมมุติ ชื่อบุคคลธรรมดาที่ปรากฎจึงอาจเป็นนามสมมุติ ประมวลกฎหมายอาญา 154 157 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 192วรรคหนึ่ง 192วรรคสี่ ป. อ. ม. 154 ม. 157 ป. วิ. 192วรรคหนึ่ง ม. 192วรรคสี่ นอกจากจำเลยมีหน้าที่รังวัดที่ดินแล้ว ผู้บังคับบัญชายังได้มอบหมายหน้าที่ให้จำเลยมีหน้าที่รับคำขอ ลงบัญชี รับทำการ เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม และออกใบเสร็จรับเงินด้วย การที่จำเลยรับเงินค่าธรรมเนียมรังวัดที่ดินจากผู้เสียหายทั้งสิบสองแม้ศาลชั้นต้นจะฟังข้อเท็จจริงที่ได้ตามทางพิจารณาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่หรือแสดงตนว่ามีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร ค่าธรรมเนียม หรือเงินนั้นโดยทุจริตตาม ป. มาตรา 154 แต่ก็ไม่สามารถลงโทษจำเลยได้ เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป. มาตรา 154 อันเป็นบทเฉพาะมาด้วย นอกจากนี้ความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตาม ป. มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไป โจทก์ก็มิได้อ้างมาในฟ้องทั้งมิได้ยกขึ้นฎีกา จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตาม ป.