เตา อั้งโล่ โบราณ
ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!
ดร. วันชัย กล่าวถึงปัญหาการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กโรคโควิด-19 นอกจากปัญหาในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ปัจจุบันและอนาคต ผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาการไม่หนักจะเข้ากระบวนการรักษาตัวแบบ Home isolation มากขึ้น ซึ่งหมายความว่า ครอบครัวที่มีเด็กติดโรคโควิด-19 ต้องดูแลและป้อนยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับเด็กเอง "ปัญหาที่เราห่วงใยคือผู้ปกครองจะบด ตวง และผสมยาได้อย่างที่บุคลากรทางการแพทย์ทำให้ได้หรือไม่ อาจทำให้เด็กได้รับยาไม่ครบถ้วนเหมาะสมและได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง" ข้อห่วงใยดังกล่าวทำให้อาจารย์ ภก. วันชัย และคณะผู้วิจัย ประกอบด้วย ผศ. ภญ. นฤพร สุตัณฑวิบูลย์ ผศ. ดุษฎี ชาญวาณิช รศ. อังคณา ตันติธุวานนท์ และ อ. ภก. ภาสวีร์ จันทร์สุก จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เร่งคิดค้นและพัฒนาน้ำกระสายยาเพื่อใช้กับยาเม็ดฟาวิพิราเวียร์ ที่สามารถเตรียมให้เป็นรูปแบบยาน้ำแขวนตะกอนที่รับประทานง่ายสำหรับผู้ป่วยเด็ก และสะดวกต่อการเก็บไว้ใช้ได้จนครบกำหนด 5-10 วัน ตามระยะเวลาการรักษาที่แพทย์แนะนำ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ปกครองดูแลให้ยาลูกหลานได้อย่างเหมาะสม "สุขภาพเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ เมื่อเราเห็นปัญหาในเด็ก เห็นบุคลากรทางการแพย์ลำบาก เราจึงนำองค์ความรู้มาพัฒนาสิ่งนี้เพื่อแบ่งเบาภาระเพื่อนร่วมวิชาชีพ" อาจารย์ ภก.
วางยาไว้ที่โคนลิ้นของเด็ก แล้วให้เด็กดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มที่ชื่นชอบเช่น น้ำผลไม้ ตามลงไป ให้เด็กกลืนน้ำลงคอโดยเร็วและให้คิดถึงแต่รสชาติของเครื่องดื่มเท่านั้น [10] ให้ศีรษะเด็กตั้งตรงหรือก้มลงเล็กน้อย กินน้ำโดยใช้หลอดดูดก็ได้ แบ่งหรือบดยา.
เป็นหวัด เจ็บคอ มีไข้จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งถูกต้องหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ถูกต้องและเป็นการใช้ยาที่ไม่สมเหตุสมผล อาการเจ็บคอเกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุคือ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย(รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ) หวัดเจ็บคอส่วนใหญ่เป็นเพราะติดเชื้อไวรัส การกินยาปฏิชีวนะจึงไม่ทำให้หายป่วย เพราะยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อไวรัสไม่ได้และยังมีโอกาสเสี่ยงอันตรายจากผลข้างเคียงของยาต่อร่างกายด้วย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า? ติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย คำตอบ คือ อาการเจ็บคอส่วนใหญ่ (8 ใน 10 ราย) เกิดจากเชื้อไวรัส โดยจะมีอาการต่อมทอนซิลบวมแดง คอแดงทำให้เจ็บคอ อาจมีอาการไอร่วมด้วยถ้าเป็นแบบนี้ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะก็หายได้ การติดเชื้อแบคทีเรีย(ซึ่งพบน้อยกว่าจะมีคอแดง ต่อมทอนซิลบวมแดงและเจ็บคอ มีข้อแตกต่างจากเจ็บคอจากเชื้อไวรัส คือ มีจุดหนองที่ต่อมทอนซิล มีฝ้าสีเทาที่ลิ้น และมักจะคลึงพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้ขากรรไกรโต และ จุดแตกต่างที่สำคัญที่สังเกตได้ง่าย คือ มักจะไม่มีอาการไอ หวัดเจ็บคอจากเชื้อไวรัส รักษาอย่างไร? คำตอบ คือ ทุกคนมีภูมิต้านทานของร่างกายที่เอาชนะเชื้อไวรัสได้อยู่แล้ว แต่ในช่วงที่ไม่สบายเราอาจมีอาการเป็นไข้ ปวดศรีษะ ปวดตามตัว ไอมีน้ำมูกหรือเสมหะและรู้สึกเพลียในช่วงเวลานี้ ให้รู้ไว้ว่า "พระเอกอย่างภูมิต้านทาน" กำลังต่อสู้กับเชื้อไวรัสอยู่ ส่วนยาแก้คัดจมูกและยาลดไข้คือ "ผู้ช่วยพระเอก" นั่นเอง ที่จะทำให้เราทุเลาอาการเหล่านี้จนกว่าพระเอกจะปราบเชื้อไวรัสได้หมด ซึ่งมักใช้เวลา 3 –4 วัน เป็นอย่างน้อย หวัดเจ็บคอจากเชื้อไวรัส หายเองได้จริงหรือ?
หากลูกอาเจียนควรให้ยาซ้ำหรือไม่ ให้ยึดหลักการง่าย ๆ คือ หากป้อนยาแล้วลูกอาเจียนทันที ก็ให้ยาซ้ำได้ แต่หากให้ยาแล้วลูกไม่อาเจียนทันที ก็ให้ข้ามยามื้อนั้นไปเลย ไม่ต้องป้อนซ้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กได้รับยาเกินขนาด 5. อย่าผสมยาในขวดนม อาจจะทำให้รสชาติและสีของยาเปลี่ยนไปจนเด็กไม่ยอมกิน ยิ่งกว่านั้นอาจทำให้คุณสมบัติทางกายภาพของยาเปลี่ยนไป หรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา เช่น อาจทำให้ยามีฤทธิ์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตราย หรือมีฤทธิ์ลดลง ซึ่งจะให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรป้อนยาให้ลูกทีละชนิดจะปลอดภัยกว่า 6.
เด็ก ติดเชื้อโควิด-19 กินยาอะไรได้บ้าง? ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกช่วงอายุมีโอกาสการได้รับเชื้อเท่ากัน ไ ม่เว้นแม้แต่เด็ก ๆ ถึงแม้สถิติเด็กติดเชื้อจะยังไม่มาก หากติดเชื้อแล้วสามารถกินยาอะไรได้บ้าง ในระหว่างรอเตียงเพื่อรักษา ข้อมูลโดย แพทย์หญิง กมลลักษณ์ อนันต์นิธิวุฒิ แพทย์ประจำสาขากุมารเวชทั่วไป โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ โทร 02-363-2000 ต่อ 2209-2201 รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆได้ที่ Facebook: Paolo Hospital Samutprakarn
ส. กอบกุล พันธ์รัตนอิสระ หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล รพ. ปะคำ ได้ออกมาระบุว่า จากการสอบถามแล้วยอมรับว่าพยาบาล ให้ยาผิดเตียงจริง ยอมรับว่าเกิดความผิดพลาด ซึ่งพยาบาลที่จ่ายยาไป อาจจะเพลียระหว่างการรอเปลี่ยนเวร ทางพยาบาลขอน้อมรับผิดทั้งหมด หลังจากนี้จะมีการวางแผนแก้ไขปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก. อ่านเพิ่มเติม...
การใช้ยา หรือ การป้อนยาเด็ก ที่ร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่เท่าผู้ใหญ่ ต้องเพิ่มความระมัดระวังกว่าปกติ เพราะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้ว ผลเสียที่เกิดกับเด็กจะร้ายแรงกว่าที่เกิดกับผู้ใหญ่หลายเท่า และอาจเป็นเหตุผลว่า กินยาแล้วทำให้ลูกไม่หายป่วยสักที! หลักการใช้ยาเบื้องต้นในเด็ก คือ 1. ไม่ควรใช้ยาโดยไม่จำเป็น หากเลี่ยงได้ควรเลี่ยง เพราะโรคบางโรคที่ไม่รุนแรง สามารถปล่อยให้อาการหายเองได้ 2. ควรเลือกยาที่มีความปลอดภัยสูง โดยพยายามเลือกยาที่คุ้นเคย หรือที่เคยใช้แล้วปลอดภัย พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาชนิดใหม่ ๆโดยไม่จำเป็น 3. ควรอ่านฉลากยาให้ถี่ถ้วนก่อน ควรสังเกต และ จำว่ายาที่เคยใช้กับลูก เปลี่ยนแปลงจากที่เคยใช้ หรือไม่ เพราะเภสัชกรมักเลือก ยาประเภทน้ำเชื่อมให้เด็ก ซึ่งอาจจะหมดอายุเร็วกว่ายาเม็ด ถ้ายามีลักษณะต่างไปจากปกติตอนแรก ไม่ควรให้ลูกกิน เอกสารประกอบยา หรือ สลากข้างขวดยา อาจมีการแบ่งช่วงอายุเด็กต่างกันไป ดังนี้ 1. เด็กแรกเกิด (New Born) หมายถึง เด็กแรกคลอดจนถึง 4 สัปดาห์ 2. เด็กอ่อนหรือทารก (Infant) หมายถึง เด็กแรกคลอดจนถึง 1 ขวบ 3. เด็กเล็ก หมายถึง เด็ก 1 – 6 ขวบ 4.
ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ เป็นตัวช่วยเสริมให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุ ใช้ได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย เพราะการแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์เป็นการทำให้ฟลูออไรด์ได้สัมผัสกับผิวฟันโดยตรง ซึ่งจะให้ผลในการป้องกันฟันผุได้ที่สุด คือผลเฉพาะที่ จากการศึกษาพบว่า การแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่ความเข้มข้น 1000 ppm จะสามารถป้องกันฟันผุได้มากถึงร้อยละ 30 แต่สำหรับเด็กเล็กปริมาณความเข้มข้นของฟลูออไรด์จะต้องลดลงมาตามอายุ ดังนี้ ปริมาณยาสีฟันที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย - ฟันซี่แรกถึงอายุน้อยกว่า 3 ขวบ: ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ 500 ppm แตะเป็นชั้นบางๆ บนแปรงสีฟัน คำนวณแล้วมีปริมาณฟลูออไรด์ 0. 05 มิลลิกรัม ผู้ปกครองแปรงฟันให้และเช็ดฟองออก - 3 ขวบ-6 ขวบ: ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ 500 หรือ 1000 ppm ขนาด 5 มิลลิเมตรหรือเท่าเม็ดถั่วเขียว คำนวณแล้วมีปริมาณฟลูออไรด์ 0. 1 มิลลิกรัม ผู้ปกครองบีบยาสีฟันให้และช่วยแปรง - มากกว่า 6 ขวบ: ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ 1000 ppm ขึ้นไป ขนาด 1-2 เซนติเมตร คำนวณแล้วมีปริมาณฟลูออไรด์ 0.
กระเพาะอาหารเคลื่อนตัวช้า ทำให้มีอาหารค้างในกระเพาะนาน เช่นผู้ที่เป็นเบาหวาน จะทำให้ระบบประสาทอัตโนมัตเสื่อม, หรือผู้ที่มีแผลหรือเนื้องอกในกระเพาะอาหาร อาหารไม่ย่อย มีอาการยังไงบ้าง อาหารไม่ย่อย จะมีอาการระหว่างกินข้าวหรือหลังกินข้าว 1. ปวดหรือไม่สบายท้อง ตรงบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ 2. จุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง 3. เรอบ่อย แสบท้อง เรอเปรี้ยว 4. คลื่นไส้ อาเจียน 5. หากอาหารไม่ย่อยจากสาเหตุกรดไหลย้อน จะมีอาการ เรอเปรี้ยว หรือแสบลิ้นปี่ขึ้นมาถึงคอ เป็นมากเวลานอนราบหรือก้มตัว 6. หากอาหารไม่ย่อยจากสาเหตุแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ จะมีอาการแสบท้องเวลาหิว หรือปวดท้องเวลากลางคืน จะดีขึ้นเมื่อกินยาลดกรด 7. หากอาหารไม่ย่อยจากสาเหตุโรคตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน มะเร็งในช่องท้อง จะมีอาการ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง ฝ่ามือแดง หรือถ่ายดำ 8. หากอาหารไม่ย่อยจากสาเหตุโรคหัวใจขาดเลือด จะมีอาการจุกแน่นยอดอก ปวดร้าวขึ้นไปถึงคอ ขากรรไกร หัวไหล่ พบมากในคนอายุ 40-50 ปีขึ้นไป อาหารไม่ย่อย รักษาโดยใช้ยาอะไร? 1. อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ แนะนำทานยา diasgest ซึ่งออกฤิทธิ์ทั้ง ช่วยย่อย ขับลม และลดกรดเกิน ให้ทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น หรือเฉพาะมื้อที่มีอาการอาหารไม่ย่อยได้นะคะ ในเด็ก แนะนำให้ทานตัวยา simethicone เช่น ยี่ห้อ berclomine syrup อายุต่ำกว่า 4 ขวบ ทานครั้งละ 2.