เตา อั้งโล่ โบราณ
ข มีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม กำหนดให้ผู้บังคับหรือปล่อยอากาศยานต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี ไม่เป็นผู้มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ไม่เคยโดนโทษจำคุกในความผิดตามกฎหมายยาเสพติดหรือศุลกากร และต้องขึ้นทะเบียนต่ออธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้เหมือนประเภท 1. ก และเพิ่มเติมอย่างการบำรุงรักษาอากาศยาน ความชำนาญในการบังคับอากาศยาน ความเข้าใจในกฎจราจรทางอากาศ ต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิงที่ใช้งานได้ติดตัว มีประกันภัยต่อบุคคลที่สาม วงเงินไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อครั้ง เพิ่มระยะห่างในข้อ (ฑ) เป็นไม่น้อยกว่าห้าสิบเมตร (หนึ่งร้อยห้าสิบฟุต) เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยไม่ชักช้า สำหรับอากาศยานประเภท 2 ก็ต้องขึ้นทะเบียนและปฏิบัติเงื่อนไขเช่นเดียวกับประเภท 1.
: ลงทะเบียนโดรนที่ซื้อเพื่อระบุว่าใครเป็นเจ้าของ โดยยื่นเอกสารได้ที่ร้านที่คุณซื้อมาคล้ายกับการลงทะเบียนซิมการ์ด หรือจะโหลดใบลงทะเบียนโดรนแล้วส่งเมลไปที่ กสทช. เองก็ได้ โดยสามารถโหลดทาง คำขอขึ้นทะเบียนโดรน ขึ้นทะเบียนผู้บังคับหรือปล่อยโดรน กับทางกรมการบินพลเรือน: ในอดีตการขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน ต้องกรอกเอกสาร แล้วรอซึ่งอาจจะนานถึง 45 วัน หรือมากกว่า แต่วันที่ 16 กรกฎาคมเป็นต้นไป ผู้ที่จะขอขึ้นทะเบียนบังคับโดรนนั้นสามารถลงทะเบียนทางออนไลน์ได้เลย และอนุมัติภายใน 15 วัน เงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนนั้นผู้บังคับจะต้องขึ้นทะเบียนโดรนกับทางกสทช. ก่อนจากนั้นทำประกันภัยบุคคลที่สามชั้นสามวงเงิน ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1, 900 บาท จึงกรอกแบบฟอร์มต่างๆ เพื่อขอขึ้นทะเบียน สำคัญคือการรับรองประวัติอาชญากรรมซึ่งผู้ลงทะเบียนรับรองตัวเองได้ (แต่ถ้าค้นเจอประวัติอาชญากรรม จะโดนถอนใบอนุญาตทันที) หากเอกสารหรือข้อมูลครบก็จะผ่านไวได้ใบอนุญาตบินที่พริ้นต์เก็บไว้ได้เลย โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่ คำขอขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน กรณีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนโดรนกับทาง กสทช.
สำหรับ เครื่องบินโดรน นั้นก็เข้ามาเป็นที่นิยมในประเทศของเราได้ซักพักแล้ว แต่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยรู้ว่าการบินโดรนนั้นจำเป็นจะต้องขอใบอนุญาต และลงทะเบียนกับหน่วยงานต่าง ๆ ภายในประเทศเสียก่อน ไม่ใช่ของที่จะใช้งานได้ทั่ว ๆ ไป โดยข้อกำหนดในการบินโดรนให้ถูกกฏหมายนั้นเป็นไปตามหัวข้อดังนี้ 1. ขึ้นทะเบียนโดรนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจ้าของโดรนนั้นจำเป็นจะต้องลงทะเบียนโดรนกับ 2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง *ต้องลงทะเบียนกับทั้ง 2 หน่วยงานไม่ใช่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ได้แก่ กรมการบินพลเรือน เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พื้นที่บนท้องฟ้าของประเทศไทย และ กสทช. หรือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เนื่องจากโดรนถูกใช้ในการบันทึกภาพหรืองานต่าง ๆ ในทางนิเทศศาสตร์นั่นเอง 2. ประเภทของโดรนที่ต้องขึ้นทะเบียน โดรนที่อยู่ในข่ายต้องลงทะเบียนนั้นจะมีขอบเขตดังนี้ โดรนน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม และ ไม่มีกล้อง ไม่ต้องขึ้นทะเบียน โดรนมีกล้องต้องขึ้นทะเบียนทุกกรณี โดรนที่มีน้ำหนัก 2-25 กิโลกรัม ต้องขึ้นทะเบียน ส่วนโดรนที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 25 กิโลกรัมขึ้นไปจะต้องได้รับอนุญาตจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นรายกรณี โดย หนังสือการขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนจะมีอายุ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกหนังสือ และจะแจ้งผลการพิจรณาภายใน 15 วันทำการ นับตั้งแต่วันที่เอกสารครบถ้วน 3.
ห้ามทำการบินเหนือเมือง หมู่บ้าน ชุมชน หรือพื้นที่ที่มีคนมาชุมนุมอยู่ 10. ห้ามบังคับอากาศยานเข้าใกล้อากาศยานซึ่งมีนักบิน 11. ห้ามทำการบินละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น 12. ห้ามทำการบินโดยก่อให้เกิดความเดือดร้อน ความรำคาญแก่ผู้อื่น 13. ห้ามส่งหรือพาวัตถุอันตรายตามที่กำหนดในกฏกระทรวงหรืออุปกรณ์ปล่อยแสงเลเซอร์ติดไปกับอากาศยาน 14. ห้ามทำการบินโดยมีระยะห่างในแนวราบกับบุคคล ยานพาหนะ สิ่งก่อสร้าง อาคาร ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการบินน้อยกว่า 30 เมตร (100 เมตร) ในกรณีอากาศยานที่มีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม และ 50 เมตร ( 150 ฟุต) ในกรณีอากาศยานที่มีน้ำหนักเกินกว่า 2 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม 15. เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแก่อากาศยานให้ผู้บังคับหรือปล่อยอากาศยานแจ้งอุบัติเหตุนั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยไม่ชักช้า ( ในเวลาราชการ โทร 02-568-8800 ต่อ 1504, 1505 โทรสาร 02-568-8848 นอกเวลาราชการ 081-3892068 หรือ e-mail: เงื่อนไขระหว่างทำการบิน 1. ห้ามทำการบินในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน และรบกวนความสงบสุขของบุคคลอื่น 2. ห้ามทำการบินเข้าไปในบริเวณเขตหวงห้าม เขตกำกัด และเขตอันตรายตามที่ประกาศในเอกสารแถลงข่าวการบินของประเทศไทย (Acronautical Publication – Thailand หรือ AIP – Thailand) รวมทั้งสถานที่ราชการ หน่วยงานของรัฐ โรงพยาบาล เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ 3.
ประเภทที่1ที่มีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม ผู้ใช้งานต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีและต้องขึ้นทะเบียนต่ออธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศโดนมีเงื่อนไขที่ต้องทำตามเหมือนกับประเภทที่1ที่มีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัมแต่ต้องมีการบำรุงโดรนอย่างชำนาญรวมไปถึงมีความเข้าใจในกฎการจราจรทางอากาศด้วย 3. ประเภทที่ 2 มีเงื่อนไขการใช้งานเหมือนกับประเภทที่1ที่มีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม โดยในการชึ้นทพเบียนนั้นจะต้องระบายชื่อผู้บังคับโดรนหรือบุคคลที่ใช้งานโดรนนั้นๆด้วย จะเห็นได้ว่ามีกฎเงื่อนไขมากมายในการใช้งานโดรนส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวกับการปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเป็นหลักเพราะฉะนั้นหากใครอยากจะเล่นหรือต้องใช้โดรนในการทำงานละก็อย่าลืมตรวจเช็กความปลอดภัยและอย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครละ
ศ. 2558 ลงวันที่ 2 ก. ค. 58 ลงนามโดย พล. อ. ประจิน จั่นตอง รมต. คมนาคม (เริ่มใช้นับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศ) โดยแบ่งประเภทของอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอกตามประกาศนี้ เป็น 2 ประเภท คือ 1. ประเภทที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเล่นเป็นงานอดิเรก เพื่อความบันเทิง หรือเพื่อการกีฬา แบ่งเป็น 2 ขนาด คือ ก) น้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม ข) น้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม 2. ประเภทที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกจาก 1. ที่มีน้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม ดังต่อไปนี้ ก) เพื่อรายงานเหตุการณ์ หรือรายงานการจราจร(สื่อมวลชน) ข) เพื่อการถ่ายภาพ การถ่ายทำ หรือการแสดงภาพยนต์ หรือรายการโทรทัศน์ ค) เพื่อการวิจัยและพัฒนาอากาศยาน ง) เพื่อการอื่น ๆ สำหรับเรา ๆ ท่าน ๆ ก็คงเป็นโดรน ประเภท 1.
ขณะนี้มีบริษัทสยามยามาฮ่ากำลังยื่นคำขอใบอนุญาตประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศ (เอโอแอล) สำหรับโปรยสารเคมีเพื่อการเกษตร นอกจากนี้ ผู้ขับโดรน ต้องผ่านการอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ จากโรงเรียนสอนการใช้โดรนที่ถูกต้องตามกฎหมาย เหมือนการขอใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ จากเดิมที่ลงทะเบียนกับกพท. ก็ใช้โดรนได้เลยไม่ต้องผ่านการอบรม จากนี้ไป กพท. จะร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ DTI พิจารณาหลักสูตรการอบรม เพื่อรับรองสถาบันฝึกอบรมนักบินโดรนที่จัดตั้งโดย DTI ซึ่งจะเป็นสถาบันต้นแบบในการฝึกบินโดรน และให้บริการฝึกบินที่ได้มาตรฐานให้กับประชาชน ทั้งนี้ คาดว่ากฎหมายควบคุมโดรนจะมีผลบังคับใช้ปลายปีนี้ สำหรับการให้บริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินด้วยเฮลิคอปเตอร์ หรือ HEMS นั้น ได้ปลดล็อกให้ขนส่งผู้ป่วยในพื้นที่จอดนอกเหนือสนามบินได้ เริ่ม 1 มี. นี้ โดย กพท. ได้ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ. ) ทางบก น้ำ อากาศ ส่งผู้ป่วยที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงหรือเจ็บป่วยวิกฤติฉุกเฉินถึงจุดหมายโดยเร็ว นอกจากนี้ เดือน ก. พ. นี้ ICAO จะมาตรวจสอบดูแลด้านความปลอดภัยของสนามบินและการอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร เช่น ด้านศุลกากร และเข้าเมือง เป็นต้น.